ประวัติวัดและพระพุทธรูป
ต่อมาเมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดให้ขยายถนนบำรุงเมือง จึงได้โปรดให้ย้ายศาลเจ้าพ่อเสือมาไว้ที่ ทางสามแพร่ง ถนนตะนาว ซึ่งก็คือสถานที่ตั้งในปัจจุบันนั่นเอง
ต่อมาเมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดให้ขยายถนนบำรุงเมือง จึงได้โปรดให้ย้ายศาลเจ้าพ่อเสือมาไว้ที่ ทางสามแพร่ง ถนนตะนาว ซึ่งก็คือสถานที่ตั้งในปัจจุบันนั่นเอง
๕ พระพุทธปฏิมาที่ขึ้นชื่อในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์มีปาฏิหาริย์มากมาย อัศจรรย์ใจดุจเทพบันดาล แต่ละองค์ล้วนมีเทพยดาอารักษ์เฝ้าสถิตรักษาจำนวนมาก อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปกราบขอพรให้ได้ ศักดิ์สิทธิ์มาก มีดังนี้ ๑.หลวงพ่อพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก ๒.หลวงพ่อพระพุทธโสธร วัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา ๓.หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย ๔.หล
ประวัติความเป็นมาหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสุพรรณมาแต่โบราณกาล ตามพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้ากาแลโปรดให้บูรณะวัดป่าเลไลยก์ เมื่อ พ.ศ. 1724 แสดงว่าวัดนี้ได้สร้างมาแล้วก่อนหน้านั้น องค์พระประดิษฐานอยู่ในวิหารที่สูงใหญ่ มองเห็นเด่นแต่ไกล เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองปางป่าเลไลยก์ขนาด ใหญ่สูง 23 เมตรเศษ สร้างตามแบบศิลปอู่ทองรุ่นที่สอง ซึ่งเป็นศิลปะฝีมือสกุลช่างอู่ทองแท้ ๆ
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง) อัญเชิญพระเสริม จากวัดโพธิ์ชัย หนองคายไปกรุงเทพฯและอัญเชิญพระใสจากวัดหอก่องขึ้นประดิษฐานบนเกวียนจะอัญเชิญลงไปกรุงเทพฯ ด้วย แต่พอมาถึงวัดโพธื์ชัย หลวงพ่อพระใสได้แสดงปาฏิหาริย์จนเกวียนหักจึงอัญเชิญลงไปไม่ได้ ได้แต่พระเสริมลงกรุงเทพฯ ประดิษฐาน ณ วัดปทุมวนาราม ส่วนหลวงพ่อพระใสได้อัญเชิญประดิษฐาน ณ วัดโพ
วัดพนัญเชิง เป็นวัดที่มีประวัติอันยาวนาน ก่อสร้างก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา และไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง ตามหนังสือพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้าง และพระราชทานนามว่า วัดเจ้าพระนางเชิง และพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์กล่าวไว้ว่า ได้สถาปนาพระพุทธรูปพุทธเจ้าพแนงเชิง เมื่อปี พ.ศ. 1867 ซึ่งก่อนพระเจ้าอู่ทองจะสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี
ผู้มีปัญญาดีคนหนึ่งได้ให้ความเห็นว่า คงเป็นเพราะบุญญาอภินิหารของท่าน เพราะแม้ว่าจะใช้ผู้คนจำนวนมากก็ยังไม่สามารถอาราธนาฉุดท่านขึ้นบนฝั่งได้สำเร็จ จึงควรจะเสี่ยงทายต่อแพผูกชะลอกับองค์ท่านแล้วใช้เรือพายฉุดท่านให้ลอยไปตามลำคลองสำโรง พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานว่าหากท่านประสงค์จะขึ้นที่ใดก็ขอให้แสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมาหยุด ณ ที่นั้น
วัดสวนดอก หรือ วัดบุปผาราม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่บนถนนสุเทพ ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันมีพระราชรัชมุนี เป็นเจ้าอาวาส วัดสวนดอกสร้างขึ้นในภายในเวียงสวนดอก ซึ่งเป็นเขตพระราชอุทยานในสมัยราชวงศ์มังราย โดยในปี พ.ศ. 1914
จุดเด่นของวัดนี้คือ พระปรางค์องค์ใหญ่ วัดโดยรอบ ๖๗ เมตร ส่วนสูงถึงยอดนภศูล ๔๒.๗๕ เมตร ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป ๔ องค์ หันพระพักตร์ไป ๔ ทิศ ขนาบด้วยพระปรางค์เล็กอีก ๒ องค์ วัดโดยรอบองค์ละ ๓๐ เมตร สูง ๒๒.๘๐ เมตร องค์ด้านทิศตะวันออกประดิษฐานพระโพธิสัตว์พระศรีอารย์ องค์ทิศตะวันตกประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองบนแผ่นศิลา ๔ รอย เป็นของโบราณไม่ปรากฏที่มา
ภาพตุ๊กตาศิลาจีน หรือตุ๊กตาศิลาฝรั่ง รูปร่างแปลกตาหลากหลายแบบ หรือที่เรียกกันติดปากว่า อับเฉา ตุ๊กตาหินที่มีรูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายสวยงามเต็มยศอย่างขุนนางจีน มีทั้งฝ่ายบู๊ มือถืออาวุธ หน้าตาดุดันใส่เสื้อเกราะ ไปจนถึงฝ่ายบุ๋น หน้าตาอมยิ้ม สวมหมวกทรงสูงแบบนักปราชญ์ มือถือหนังสือเป็นนักปกครอง นักวางแผนแห่งราชสำนัก ซึ่งอับเฉาชนิดนี้เรียกว่า “ลั่นถัน” ตุ๊กตาจีน
เด็กชายกับตุ๊กตาจีน ในบริเวณพระอุโบสถ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ภาพ ปี พศ.๒๔๖๐ Cr.หนังสือฟิล์มกระจกจดหมายเหตุ